คำสั่ง MATCH
ใน Google Sheets เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับค้นหาตำแหน่งของค่าในช่วงข้อมูล (เช่น ในแถวหรือคอลัมน์) และคืนค่าตำแหน่งนั้นเป็นตัวเลข. คำสั่งนี้มีประโยชน์มากเมื่อคุณต้องการหาตำแหน่งของข้อมูลเฉพาะในชุดข้อมูลขนาดใหญ่หรือเมื่อคุณต้องการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างช่วงข้อมูลต่างๆ.
วิธีการใช้:
MATCH(search_key, range, [search_type])
- search_key: ค่าที่คุณต้องการค้นหา.
- range: ช่วงข้อมูลที่คุณต้องการค้นหาค่านั้น ๆ.
- search_type: (ไม่จำเป็นต้องใส่) ตัวเลขที่ระบุวิธีการค้นหา. มี 3 ค่าให้เลือก:
1
หรือไม่ใส่: ค้นหาแบบเรียงลำดับจากน้อยไปหามาก. ช่วงข้อมูลต้องเรียงลำดับก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาหรือค่าที่ใกล้เคียงที่สุดแต่ไม่เกินค่าค้นหา.0
: ค้นหาแบบแม่นยำ. ไม่ต้องเรียงลำดับช่วงข้อมูลก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาเท่านั้น.-1
: ค้นหาแบบเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย. ช่วงข้อมูลต้องเรียงลำดับก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาหรือค่าที่ใกล้เคียงที่สุดแต่ไม่น้อยกว่าค่าค้นหา.
ตัวอย่างการใช้งาน:
สมมติว่าคุณมีชุดข้อมูลตั้งแต่ A1 ถึง A5 ดังนี้: A, B, C, D, E. และคุณต้องการหาตำแหน่งของข้อมูล "C".
=MATCH("C", A1:A5, 0)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ 3
, เพราะ "C" อยู่ในตำแหน่งที่ 3 ของช่วงข้อมูล A1:A5.
ฟังก์ชัน MATCH
มีประโยชน์มากในหลายสถานการณ์, เช่น เมื่อใช้ร่วมกับฟังก์ชัน INDEX
เพื่อค้นหาค่าข้อมูลจากตำแหน่งที่ตรงกัน, หรือเมื่อต้องการทราบตำแหน่งของข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดการหรือวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป.
การประยุกต์ใช้คำสั่ง Match เพื่อเปรียบเทียบลิสต์สองลิสต์ใน GoogleSheet
หากคุณต้องการทำไฮไลต์ข้อความในคอลัมภ์ B ที่ต่างไปจากคอลัมภ์ A ใน Google Sheets, คุณสามารถทำได้โดยใช้การจัดรูปแบบตามเงื่อนไขเช่นกัน แต่จะเปลี่ยนเงื่อนไขในสูตรที่ใช้. ขั้นตอนนี้จะแสดงวิธีการทำ:
เลือกช่วงข้อมูลในคอลัมภ์ B ที่คุณต้องการทำไฮไลต์ (เช่น B2:B).
ไปที่ "Format" บนเมนูบาร์แล้วเลือก "Conditional formatting".
ในหน้าต่าง "Conditional format rules" ที่ปรากฏ, ตั้งค่าในส่วน "Format cells if" เป็น "Custom formula is".
ในช่องสำหรับใส่สูตร, ให้คุณใส่สูตรต่อไปนี้:
=ISNA(MATCH(B2, $A$2:$A, 0))
สูตรนี้จะตรวจสอบว่าข้อมูลในแต่ละเซลล์ของคอลัมภ์ B นั้นไม่มีอยู่ในคอลัมภ์ A โดยใช้
MATCH
เพื่อค้นหาข้อมูลในคอลัมภ์ A. ถ้าMATCH
ไม่พบข้อมูล (หมายความว่าฟังก์ชันคืนค่าเป็น #N/A),ISNA
จะคืนค่าเป็น TRUE และเงื่อนไขนี้จะถูกใช้ในการทำไฮไลต์.เลือกสไตล์การจัดรูปแบบที่คุณต้องการใช้สำหรับการทำไฮไลต์ข้อมูล (เช่น การเปลี่ยนสีพื้นหลังหรือสีข้อความ).
คลิก "Done" เมื่อคุณตั้งค่าเสร็จสิ้น.
การตั้งค่านี้จะทำให้ข้อมูลในคอลัมภ์ B ที่ไม่มีอยู่ในคอลัมภ์ A ถูกทำไฮไลต์. วิธีนี้เหมาะสำหรับการเน้นข้อความที่ไม่ตรงกันระหว่างสองชุดข้อมูลใน Google Sheets.