วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2567

การใส่ Password ให้กับเอกสาร Word

 หากคุณต้องการป้องกันเอกสารที่สร้างใน โปรแกรม Microsoft word คุณสามารถใส่รหัสผ่านให้กับเอกสาร นั้นๆ ได้ แบบง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการใส่รหัสผ่านในเอกสาร Microsoft Word

  1. 1.เปิดเอกสาร Word ที่คุณต้องการใส่รหัสผ่าน
  2. 2. คลิกที่เมนู ไฟล์ (File) บนแถบเมนูด้านบน


  3. 3. เลือก ข้อมูล (Info) จากนั้นคลิก ป้องกันเอกสาร (Protect Document)


  4. 4. คลิกที่ เข้ารหัสด้วยรหัสผ่าน (Encrypt with Password)


  1. 5. ในกล่องที่ปรากฏ, พิมพ์รหัสผ่านที่คุณต้องการใช้ แล้วคลิก ตกลง (OK)
  2. 6. พิมพ์รหัสผ่านอีกครั้งเพื่อยืนยัน จากนั้นคลิก ตกลง (OK)
เพียงเท่านี้ทุกครั้งที่เอกสารนี้ถูกเปิด ผุ้ใช้จะต้องใส่รหัสผ่านเท่านั้นถึงจะเปิดได้ โปรดจำไว้ด้วยว่าหากคุณลืมรหัสผ่านคุณจะไม่สามารถเปิดใช้เอกสารนี้ด้วยเช่นกัน


วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2567

ค้นหา url จากไฟล์ที่อัพโหลดไปยัง Drive ใน AppSheet

เป็นสคริปต์สำหรับ Google Apps Script ที่ใช้ในการค้นหาไฟล์ใน Google Drive จากชื่อโฟลเดอร์และชื่อไฟล์ที่ระบุใน Google Sheets แล้วบันทึก URL ของไฟล์นั้นลงในคอลัมน์ C ของแถวเดียวกัน โค้ดนี้ทำงานภายใต้การทำงานของฟังก์ชัน doPost, ซึ่งถูกเรียกเมื่อมีการส่งข้อมูลมายัง Apps Script ผ่าน HTTP POST request. นี่คือรายละเอียดของแต่ละส่วนของโค้ด:


function doPost(e) {

  var postdata = JSON.parse(e.postData.contents);

  var row = postdata.row;

  var sheet = SpreadsheetApp.getActive().getSheetByName("ชื่อชีต");

  var arrpath = sheet.getRange('คอลัมภ์ชื่อไฟล์'+row).getDisplayValue().split("/");

  var foldername = arrpath[0];

  var filename = arrpath[1];

  var fileid = DriveApp.getFoldersByName(foldername).next().getFilesByName(filename).next().getId();

  var fileurl = "https://drive.google.com/uc?export=view&id=" + fileid;

  sheet.getRange('คอลัมภ์ลิงค์'+row).setValue(fileurl);

}



คำอธิบาย

  1. var postdata = JSON.parse(e.postData.contents); - แปลงข้อมูลที่ได้รับจาก request เป็น JSON object.

  2. var row = postdata.row; - อ่านค่าของแถวที่ต้องการอัพเดทจากข้อมูลที่ได้รับ.

  3. var sheet = SpreadsheetApp.getActive().getSheetByName("ชีต1"); - เข้าถึงแผ่นงานที่ชื่อว่า "ชีต1" ภายในสเปรดชีตที่ script กำลังทำงานอยู่.

  4. var arrpath = sheet.getRange('B'+row).getDisplayValue().split("/"); - อ่านค่าจากคอลัมน์ B ของแถวที่ระบุและแยกสตริงด้วยเครื่องหมาย "/" เพื่อแยกชื่อโฟลเดอร์และชื่อไฟล์.

  5. var foldername = arrpath[0]; - กำหนดชื่อโฟลเดอร์จากส่วนแรกของ array.

  6. var filename = arrpath[1]; - กำหนดชื่อไฟล์จากส่วนที่สองของ array.

  7. var fileid = DriveApp.getFoldersByName(foldername).next().getFilesByName(filename).next().getId(); - ค้นหาไฟล์ด้วยชื่อโฟลเดอร์และชื่อไฟล์ที่ระบุ, และเก็บ ID ของไฟล์นั้น.

  8. var fileurl = "https://drive.google.com/uc?export=view&id=" + fileid; - สร้าง URL สำหรับการเข้าถึงไฟล์โดยตรงจาก Google Drive โดยใช้ ID ของไฟล์.

ในส่วนของ Body

{
  "row": "<<[_RowNumber]>>"
}


สูตรในการย่อลิงค์ใน GoogleSheet

IMPORTDATA(C7("http://tinyurl.com/api-create.php?url=" & C2)

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567

คำสั่ง Match ใน GoogleSheet

 คำสั่ง MATCH ใน Google Sheets เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับค้นหาตำแหน่งของค่าในช่วงข้อมูล (เช่น ในแถวหรือคอลัมน์) และคืนค่าตำแหน่งนั้นเป็นตัวเลข. คำสั่งนี้มีประโยชน์มากเมื่อคุณต้องการหาตำแหน่งของข้อมูลเฉพาะในชุดข้อมูลขนาดใหญ่หรือเมื่อคุณต้องการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างช่วงข้อมูลต่างๆ.

วิธีการใช้:

MATCH(search_key, range, [search_type])


  • search_key: ค่าที่คุณต้องการค้นหา.
  • range: ช่วงข้อมูลที่คุณต้องการค้นหาค่านั้น ๆ.
  • search_type: (ไม่จำเป็นต้องใส่) ตัวเลขที่ระบุวิธีการค้นหา. มี 3 ค่าให้เลือก:
    • 1 หรือไม่ใส่: ค้นหาแบบเรียงลำดับจากน้อยไปหามาก. ช่วงข้อมูลต้องเรียงลำดับก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาหรือค่าที่ใกล้เคียงที่สุดแต่ไม่เกินค่าค้นหา.
    • 0: ค้นหาแบบแม่นยำ. ไม่ต้องเรียงลำดับช่วงข้อมูลก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาเท่านั้น.
    • -1: ค้นหาแบบเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย. ช่วงข้อมูลต้องเรียงลำดับก่อน. คืนค่าตำแหน่งของค่าที่ตรงกับค่าค้นหาหรือค่าที่ใกล้เคียงที่สุดแต่ไม่น้อยกว่าค่าค้นหา.

ตัวอย่างการใช้งาน:

สมมติว่าคุณมีชุดข้อมูลตั้งแต่ A1 ถึง A5 ดังนี้: A, B, C, D, E. และคุณต้องการหาตำแหน่งของข้อมูล "C".

=MATCH("C", A1:A5, 0)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 3, เพราะ "C" อยู่ในตำแหน่งที่ 3 ของช่วงข้อมูล A1:A5.

ฟังก์ชัน MATCH มีประโยชน์มากในหลายสถานการณ์, เช่น เมื่อใช้ร่วมกับฟังก์ชัน INDEX เพื่อค้นหาค่าข้อมูลจากตำแหน่งที่ตรงกัน, หรือเมื่อต้องการทราบตำแหน่งของข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดการหรือวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป.

การประยุกต์ใช้คำสั่ง Match เพื่อเปรียบเทียบลิสต์สองลิสต์ใน GoogleSheet


หากคุณต้องการทำไฮไลต์ข้อความในคอลัมภ์ B ที่ต่างไปจากคอลัมภ์ A ใน Google Sheets, คุณสามารถทำได้โดยใช้การจัดรูปแบบตามเงื่อนไขเช่นกัน แต่จะเปลี่ยนเงื่อนไขในสูตรที่ใช้. ขั้นตอนนี้จะแสดงวิธีการทำ:

  1. เลือกช่วงข้อมูลในคอลัมภ์ B ที่คุณต้องการทำไฮไลต์ (เช่น B2:B).

  2. ไปที่ "Format" บนเมนูบาร์แล้วเลือก "Conditional formatting".

  3. ในหน้าต่าง "Conditional format rules" ที่ปรากฏ, ตั้งค่าในส่วน "Format cells if" เป็น "Custom formula is".

  4. ในช่องสำหรับใส่สูตร, ให้คุณใส่สูตรต่อไปนี้:

  5. =ISNA(MATCH(B2, $A$2:$A, 0))

  1. สูตรนี้จะตรวจสอบว่าข้อมูลในแต่ละเซลล์ของคอลัมภ์ B นั้นไม่มีอยู่ในคอลัมภ์ A โดยใช้ MATCH เพื่อค้นหาข้อมูลในคอลัมภ์ A. ถ้า MATCH ไม่พบข้อมูล (หมายความว่าฟังก์ชันคืนค่าเป็น #N/A), ISNA จะคืนค่าเป็น TRUE และเงื่อนไขนี้จะถูกใช้ในการทำไฮไลต์.

  2. เลือกสไตล์การจัดรูปแบบที่คุณต้องการใช้สำหรับการทำไฮไลต์ข้อมูล (เช่น การเปลี่ยนสีพื้นหลังหรือสีข้อความ).

  3. คลิก "Done" เมื่อคุณตั้งค่าเสร็จสิ้น.

การตั้งค่านี้จะทำให้ข้อมูลในคอลัมภ์ B ที่ไม่มีอยู่ในคอลัมภ์ A ถูกทำไฮไลต์. วิธีนี้เหมาะสำหรับการเน้นข้อความที่ไม่ตรงกันระหว่างสองชุดข้อมูลใน Google Sheets.